วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2555

ประติมากรรมในยุคต่างๆ



ศิลปะทวารวดี พุทธศตวรรษที่ 11 - 16
ศูนย์กลางของอาณาจักรทวาราวดีของชนชาติมอญ ละว้า อยู่แถบนครปฐม ราชบุรี อู่ทอง และกินพื้นที่ไปจนถึงภาคตะวันออก และภาค ตะวันออกเฉียงหนือ แถบ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี และขึ้นมาทางเหนือแถบ ลำพูน ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูปสมัยทวาราวดี คือ พระเกตุมาลาเป็นต่อมนูน และสั้น พระพักตร์แบนกว้าง พระหนุป้าน พระนาฏแคบ พระนาสิกป้านใหญ่ พระโอษฐ์หนา พระหัตถ์และพระบาทใหญ่


ศิลปะศรีวิชัย พุทธศตวรรษที่ 13 - 18 
อาณาจักรศรีวิชัยอยู่ทางภาคใต้ มีศูนย์กลางอยู่ที่ชวาภาคกลางและมีอาณาเขตมาถึงทางภาคใต้ของไทย มีการขุดค้นพบโบราณวัตถุสมัยศรีวิชัยอยุ่มากมายทั่วไป โดยเฉพาะที่เมืองไชยา จ.สุราษฎร์ธานี นิยมสร้างรูปพระโพธิสัตว์มากกว่าพระพุทธรูป เนื่องจากสร้างตามลัทธิมหายาน พระพุทธรูปสมัยศรีวิชัยมีลักษณะสำคัญ คือ พระวรกายอวบอ้วนได้ส่วนสัด พระโอษฐ์เล็กได้สัดส่วน พระพักตร์คล้ายพระพุทธรูปเชียงแสน 


ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ 16 - 18 
ศิลปะลพบุรีพบที่ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตลอดจนในประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นของชนชาติขอม แต่เดิมเป็นศิลปะขอม แต่เมื่อชนชาติไทยเข้ามาครอบดินแดนแถบนี้ และมีการผสมผสานศิลปะขอมกับศิลปะไทย จึงเรียกว่า ศิลปะลพบุรี ลักษณะที่สำคัญของพระพุทธรูปแบบลพบุรีคือ พระพักตร์สั้นออกเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีพระเนตรโปน พระโอษฐ์แบะกว้าง พระเกตุมาลาทำเป็นต่อมพูน บางองค์เป็นแบบฝาชีครอบ พระนาสิกใหญ่ พระขนงต่อกันเป็นรูปปีกกา พระกรรณยาวย้อยลงมาและมีกุณฑลประดับด้วยเสมอ 


ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 16 - 21 
ศิลปะล้านนา หรือศิลปะเชียงแสนหมายถึงรูปแบบศิลปะที่กระจายอยู่ในภาคเหนือตอนบนตั้งแต่จังหวัดตาก  แพร่ น่าน ขึ้นไป คาดว่ามีการสืบทอดต่อเนื่องของศิลปะทวาราวดี และลพบุรี ในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่สมัยหริภุญชัย ศูนย์กลางของศิลปะ ล้านนาเดิมอยู่ที่เชียงแสน เรียกว่าอาณาจักรโยนก ต่อมาเมื่อ พญามังรายได้ย้ายมาสร้างเมืองเชียงใหม่ ศูนย์กลางของของอาณาจักรล้านนาก็อยู่ที่เมืองเชียงใหม่สืบต่อมาอีกเป็นเวลานาน
ประติมากรรมไทยสมัยเชียงแสนเป็นประติมากรรมในดินแดนสุวรรณภูมิที่นับว่าสร้างขึ้นโดยฝีมือช่างไทยเป็นครั้งแรกเกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-21 มีปรากฏแพร่หลายอยู่ตามหัวเมืองต่างๆ ทางภาคเหนือของไทย แหล่งสำคัญอยู่ที่เมืองเชียงแสน วัสดุที่นำมาสร้างงานประติมากรรมที่ทั้งปูนปั้นและโลหะต่างๆที่มีค่าจนถึงทองคำบริสุทธิ์ประติมากรรมเชียงแสนแบ่งได้เป็น2 ยุค
ศิลปะชียงแสนยุคแรก มีทั้งการสร้างพระพุทธรูปและภาพพระโพธิสัตว์หรือเทวดาประดับศิลปสถาน พระพุทธรูปโดยส่วนรวมมีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธรูปอินเดียสมัยราชวงปาละ มีพระวรกายอวบอ้วนพระพักตร์กลมคล้ายผลมะตูม พระขนงโก่ง พระนาสิกโค้งงุ้ม พระโอษฐ์แคบเล็ก พระนุเป็นปมพระรัศมีเหนือเกตุมาลาเป็นต่อมกลม ไม่นิยมทำไรพระสก เส้นพระสกขมวดเกษาใหญ่พระอุระนูน ชายสังฆาฏิสั้น ตรงปลายมีลักษณะเป็นชายธงม้วนเข้าหากัน เรียกว่า เขี้ยวตะขาบส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิเพชรปางมารวิชัยฐานที่รององค์ พระทำเป็นกลีบบัวประดับ มี ทั้งบัวคว่ำบัวหงาย และทำเป็นฐานเป็นเขียงไม่มีบัวรองรับ ส่วนงานปั้นพระโพธิสัตว์ประดับเจดีย์วัดกู่เต้าและภาพเทวดาประดับหอไตรวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ มีสัดส่วนของร่างกาย สะโอดสะองใบหน้ายาวรูปไข่ทรงเครื่องอาภรณ์เช่นเดียวกับพระโพธิสัตว์ในศิลปะแบบปาละเสนะของอินเดียหรือแบบ ศรีวิชัย
ศิลปะเชียงแสนยุคหลัง มีการสร้างพระพุทธรูปที่มีแบบของลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัยเข้ามาปะปนรูปลักษณะโดยส่วนรวมสะโอดสะองขึ้น ไม่อวบอ้วนบึกบึน พระพักตร์ยาวเป็นรูปไข่มากขึ้นพระรัศมีทำเป็นรูปเปลว พระศกทำเป็นเส้นละเอียดและมีไรพระศกเป็น เส้นบาง ๆชายสังฆาฏิ ยาวลงมาจรดพระนาภี พระพุทธรูปโดยส่วนรวมนั่งขัดสมาธิราบ พระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดและถือเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดถือเป็นแบบอย่างของพระพุทธรูปที่นับว่าสวยที่สุดพระพุทธสิหิงค์ในพระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุงเทพฯพระพุทธรูปเชียงแสนนี้มักหล่อด้วยโลหะทองคำ และสำริด


ศิลปะสุโขทัย พุทธศตวรรษที่ 17 - 20 
อาณาจักรสุโขทัย นับเป็นอาณาจักรแรกของคนไทย ศิลปะสุโขทัยจึงนับเป็นสกุลศิลปะแบบแรกของชนชาติไทย ที่ผ่านการคิดค้น สร้างสรรค์คลี่คลาย สังเคราะห์ในแผ่นดินที่เป็นปึกแผ่น มั่นคงจนได้รูปแบบที่งดงาม พระพุทธรูปสุโขทัย ถือว่ามีความงามตามอุดมคติไทยอย่างแท้จริง ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูปสุโขทัย คือ พระวรกายโปร่ง เส้นรอบนอกโค้งงามได้จังหวะ พระพักตร์รูปไข่ยาวสมส่วน ยิ้มพองาม พระขนงโก่ง รับกับพระนาสิกที่งุ้มเล็กน้อย พระโอษฐ์แย้มอิ่ม ดูสำรวม มีเมตตา พระเกตุมาลารูปเปลวเพลิง พระสังฆาฏิยาวจรดพระนาภี พระศกแบบก้นหอย ไม่มีไรพระศก พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยมีความงดงามมาก ที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีหพระศาสดา พระพุทธไตรรัตนายก และพระพุทธรูปปางลีลา นอกจากพระพุทธรูปแล้ว ในสมัยสุโขทัยยังมีงานประติมากรรมที่มีชื่อเสียงอีกอย่างหนึ่งคือ เครื่องสังคโลก ซึ่งเป็นเครื่องปั้นดินเผาสมัยสุโขทัยที่มีลักษณะเฉพาะ มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เครื่องปั้นดินเผาสังคโลก เป็นเครื่องปั้นดินเผาเคลือบ สีเขียวไข่กา สีน้ำตาล สีใส เขียนทับลายเขียนรูปต่างๆ มี ผิวเคลือบแตกราน สังคโลกเป็นสินค้าออกที่สำคัญของอาณาจักรสุโขทัยที่ ส่งไปจำหน่ายนอกอาณาเขต จนถึงฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย และญี่ปุ่น 



ศิลปะอู่ทอง พุทธศตวรรษที่ 17 - 20 
อาณาจักรอู่ทอง เป็นอาณาจักรเก่าแก่ก่อนอาณาจักรอยุธยา ซึ่งมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรต่างๆ ได้แก่ ทวารวดี ศรีวิชัย ลพบุรี รวมทั้งสุโขทัย ดังนั้นรูปแบบศิลปะจึงได้รับอิทธิพลของสกุลช่างต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ลักษณะสำคัญของพระพุทธรูปอู่ทอง คือ พระวรกายดูสง่า พระพักตร์ขรึมดูเป็นรูปเหลี่ยม คิ้วต่อกันไม่โก่งอย่างสุโขทัยหรือเชียงแสน พระศกนิยมทำเป็นแบบหนามขนุน มีไรพระศก สังฆาฏิยาวจรดพระนาภี ปลายตัดตรงพระเกตุมาลาทำเป็นทรงแบบฝาชี รับอิทธิพลศิลปะลพบุรี แต่ยุคต่อมาเป็นแบบเปลวเพลิงงามแบบศิลปะสุโขทัย


ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 19 - 24 
อาณาจักรอยุธยา เป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ และมีอายุยาวนานถึง 417 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1893 - 2310 ศิลปะอยุธยาที่เจริญรุ่งเรืองมีหลายแขนง ได้แก่ การประดับมุก การเขียนลายรดน้ำ ลวดลายปูนปั้น การแกะสลักไม้ และเครื่องปั้นดินเผาลายเบญจรงค์ ฯลฯ ศิลปะการสร้างพระพุทธรูปในสมัยอยุธยาไม่ค่อยรุ่งเรืองนัก ไม่มีลักษณะเฉพาะที่เด่นชัด ลักษณะทั่วไปจะเป็นการผสมผสานศิลปะแบบอื่นๆ มีพระวรกายคล้ายกับพระพุทธรูปอู่ทอง พระพักตร์ยาวแบบสุโขทัย พระเกตุมาลาเป็นหยักแหลมสูงรูปเปลวเพลิง พระขนงโก่งแบบสุโขทัย สังฆาฏิใหญ่ปลายตัดตรง หรือสองแฉกแต่ไม่ เป็นเขี้ยวตะขาบ แบบเชียงแสน หรือสุโขทัย ตอนหลังนิยมสร้างพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบกษัตราธิราช 


ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 25 - ปัจจุบัน 
ศิลปะรัตนโกสินทร์ในตอนต้น เป็นการสืบทอดมาจากสกุลช่างอยุธยาไม่ว่าจะเป็นการเขียนลายรดน้ำ ลวดลายปูนปั้น การแกะสลักไม้ เครื่องเงิน เครื่องทอง การสร้างพระพุทธรูป ล้วนแต่สืบทอดความงามและวิธีการของศิลปะอยุธยาทั้งสิ้น ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีการติดต่อกับชาวต่างชาติมากขึ้นโดยเฉพาะชาติตะวันตก ทำให้ลักษณะศิลปะตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่ประเทศไทย และมีอิทธิพลต่อศิลปะไทยในสมัยต่อมา หลังจากการเสด็จประพาสยุโรปทั้ง 2 ครั้งของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้มีการนำเอาแบบอย่างทางศิลปะตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับศิลปะไทยทำให้ศิลปะไทยแบบประเพณี ซึ่งเป็นแบบดั้งเดิม มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นศิลปะไทยแบบร่วมสมัยในที่สุด ลักษณะของพระพุทธรูปเน้นความเหมือนจริงมากขึ้น เช่น พระศรีศากยทศพลญาณฯ พระประธานพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เป็นพระพุทธรูปปางลีลาโดยการผสมผสานความงามแบบสุโขทัย


ประติมากรรมไทย Thai Sculpture



ประติมากรรมไทย  Thai  Sculpture

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ประติมากรรมไทหมายถึง ผลงานศิลปะที่แสดงออกโดยกรรมวิธี การปั้น การแกะสลัก การหล่อ หรือการประกอบเข้าเป็นรูปทรง 3 มิติ ซึ่งมีแบบอย่างเป็นของไทยโดยเฉพาะ วัสดุที่ใช้ในการสร้างมักจะเป็น ดิน ปูน หิน อิฐ โลหะ ไม้ งาช้าง เขาสัตว์ กระดูก ฯลฯ
ผลงานประติมากรรมไทย มีทั้งแบบ นูนต่ำ นูนสูง และลอยตัว งานประติมากรรมนูนต่ำและนูนสูงมักทำเป็นลวดลายประกอบกับสถาปัตยกรรเช่นลวดลายปูนปั้น ลวดลายแกะสลักประดับตามอาคารบ้านเรือนโบสถ์ วิหาร พระราชวัง ฯลฯ นอกจากนี้ ยังอาจเป็นลวดลายตกแต่งงานประติมากรรมแบบลอยตัวด้วย
สำหรับงานประติมากรรมแบบลอยตัว มักทำเป็นพระพุทธรูป เทวรูป รูปเคารพต่างๆ (ศิลปะประเภทนี้จะเรียกว่า ปฏิมากรรม) ตุ๊กตา ภาชนะดินเผา ตลอดจนถึงเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามสกุลช่างของแต่ละท้องถิ่น หรือแตกต่างกันไปตามคตินิยมในแต่ละยุคสมัย โดยทั่วไปแล้วเรามักศึกษาลักษณะของสกุลช่างที่เป็นรูปแบบของศิลปะสมัยต่างๆ ในประเทศไทยจากลักษณะของพระพุทธรูป เนื่องจากเป็นงานที่มีวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จัดสร้างอย่างประณีตบรรจง ผู้สร้างมักเป็นช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญที่สุดในท้องถิ่นหรือยุคสมัยนั้น และเป็นประติมากรรมที่มีวิธีการจัดสร้างอย่าง ศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมศรัทธา ลักษณะของประติมากรรมของไทยในสมัยต่างๆ สามารถลำดับได้ดังนี้
  1. ศิลปะทวารวดี
  2. ศิลปะศรีวิชัย
  3. ศิลปะลพบุรี
  4. ศิลปะล้านนา
  5. ศิลปะสุโขทัย
  6. ศิลปะอยุธยา
  7. ศิลปะอู่ทอง
  8. ศิลปะรัตนโกสินทร์

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

จิตรกรรมฝาผนังไทยสมัยรัตนโกสินทร์

จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์

จิตรกรรมฝาผนังในสมัยกรุงรัตนโกสินท์นถือว่าจิตรกรรมแบบประเพณีไทยได้พัฒนามาถึงขันที่สมบูรณ์สูงสุด สอดคล้องกับความจริงว่าจิตรกรรมที่เขียนในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเหล้าเจ้าอยู่หัวมีตัวอย่างมากแห่ง จิตรกรรมที่วาดตามแบบอย่างประเพณีไทยมีสามแบบคือ
(1) ผนังระหว่างช่องหน้าต่าง วาดภาพพุทธประวัติเรียงกันไปจนรอบผนังทั้งสี่ด้าน เหนือช่องหน้าต่างขึ้นไปแบ่งเป็นแถว ๆ วาดภาพเทพชุมนุม เหนือขึ้นไปเป็นภาพฤาษีหรือนักสิทธิ์เหาะลอยอยู่ในอากาศเสมือนมานมัสการพระพุทธรูปที่เป็นประธานของอุโบสถ หรือพระที่นั่ง การจัดวางภาพลักษณะนี้ปรากฎที่ผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรค์
(2) ผนังช่องหน้าต่างวาดภาพเกี่ยวกับทศชาติชาดกได้แก่เตมิยราชชาดก มหาชนกชาดก สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภุริทัตชาดก จันทกุมารชาดก
(3) การวางตำแหน่งภาพไม่เป็นระบบระเบียบตายตัวเหมือนสองแบบแรก แต่จะวาดตามผนังทั้งสี่ด้านและด้านเสาเป็นเรื่องต่างๆกันไปจนเต็มผนังเช่นผนังวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวนาราม


วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

จิตรกรรมฝาผนังไทยสมัยประวัติศาสตร์

วิวัฒนาการของจิ ตรกรรมฝาผนังไทย
                จิตรกรรมในประเทศไทยมี มาตั้งแต่สมัยโบราณยุคก่อนประวัติศาสตร์ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันจิตรกรรมแต่ละยุคแต่ละสมัยแสดงถึงลักษณะของศิลปวัฒนธรรมของคนกลุ่มนั้นๆไว้อย่างวิจิตรงดงาม และมีจิตรกรรมไทยเป็นจำนวนที่ได้รับการยกย่องเป็นศิลปกรรมที่สำคัญของโลก รูปแบบของจิตรกรรมไทยที่มีวิวัฒนาการดําเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนมีลักษณะแบบแผนที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวนั้นสามารถแบ่งเป็นยุคสมัยตามวิวัฒนาการของงานได้ดังต่อไปนี้

1.  จิ ตรกรรมฝาผนังสมัยทวาราวดี
เป็นจิตรกรรมเริ่มแรกในสมัยประวัติศาสตร์เป็นภาพลายเส้นสลักบนแผ่นหิน แผ่นอิ ฐและแผ่นโลหะ เป็นรูปคน สัตว์และลวดลาย มีอิทธิพลของศิลปะแบบคุปตะ จากประเทศอินเดีย ภาพเขียน สี รูปคน และภาพลวดลายเรขาคณิต กับลายพันธุ์ พฤกษาบนแผ่นอิฐ ในพุทธศตวรรษที่  11 - 12 ภาพคนเขียนด้วยสีขาว ส่วนภาพลวดลายบนแผ่นอิฐเขียนด้วยสีแดง ดํา ดินเหลือง และขาว และได้พบการเขียนสีบนภาพนูนต่ํา และปูนปั้นประดับอาคารมี ภาพบนน้ําปูนเป็นจํานวนมากที่ ทําให้สันนษฐานว่าสมัยทวาราวดีอาจมี บางแห่งเขียนด้วยวิธีเขียนสีปูนเปียก

2.  จิตรกรรมฝาผนังสมัยศรีวิชัย
สมัยศรีวิชัย พุทธศตวรรษที่ 13 - 14 ภาพจิตรกรรมฝาผนังในถ้ําศิลป์  จังหวัดยะลา  มีลักษณะพิเศษโดยเฉพาะ เห็นได้จากความกลมกลืนของภาพ ซึ่งเขียนด้วยความมุ่งหมายทางพุทธศาสนา อันเป็นอิทธิพลจากประติมากรรมชวา ภาพเขียนด้วยสีฝุ่นบนพืนผนังถ้ําที่เตรียมรองพื้นด้วยสีขาว สีที่ใช้มีดินเหลือง ดํา (เขม่าไฟ) ดินแดง


3.  จิตรกรรมฝาผนังสมัยสุโขทัย
               พุทธศตวรรษที่ 18 - 19 จิ ตรกรรมส่วนใหญ่ เน้นหนั กไปทางลายเส้น เช่น ภาพลายเส้นที่  วัดศรีชุม ซึ่งเป็นภาพชาดกต่างๆ แม้เป็นภาพลายเส้นบนหิน แต่มีลักษณะตัวภาพที่ อ่อนหวานตามธรรมชาติ เป็นอิทธิพลของศิลปกรรม จากอินเดียและศรีลังกา ซึ่งเป็นแบบอย่างของจิตรกรรมไทยในยุคต่อมา นอกจากภาพลายเส้นบนแผ่นหินแล้วได้พบจิตรกรรมอีกหลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่มีสภาพ ชำรุดมาก เช่น ภาพเขียนสีเอกรงค์ ที่วัดเจดีย์เจ็ดแถว อําเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ก็คงจะวาดขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 19 เช่นเดียวกันอยู่ในเจดีย์ ทรงพุ่มข้าวบิณฑฐานสี่เหลี่ยมจตุรัส ที่ผนังซุ้มเจดีย์องค์ใหญ่ มี ภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ประทับเหนือ บัลลังก์นาค 8 เศียร แล้วได้พบจิตรกรรมในกรุเจดีย์ อีกองค์หนึ่งเป็นภาพบุคคลขี่ม้า เห็นได้เพียงลางๆเข้าใจว่าเป็นเรื่องราวพุทธประวัติ เช่นกัน จิตรกรรมแห่งนี้ มีลักษณะพิเศษที่ทําให้เป็นความน่าสนใจ คือความแตกต่างของแบบอย่างระหว่างองค์พระพุทธรูป กับรูปอื่นๆ เพราะองค์พระพุทธรูป เป็นศิลปะแบบสุโขทัย  ภาพกษัตริย์ยังคงมีอิทธิของศิลปะศรีลังกา และพระพุทธรูปมีลักษณะทรวดทรงทางกายวิภาค สีที่ใช้ ได้แก่ สีแดง ขาว ดํา เขียนเป็นประเภทเอกรงค์ ปิดทอง เป็นภาพเขียนสีฝุน (Saco Technique) การผสมสี  (Medium) ใช้กาวหนังสัตว์ หรือยางไม้

4.  จิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยา
จิตรกรรมสมัยอยุธยา คือ จิตรกรรมไทยประเพณีที่มีอายุเริ่มตั้งแต่การสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นเป็นราชธานี เมื่อ พ.ศ. 1893 จนถึงเมื่อเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 2310 ลักษณะของจิตรกรรมสมัยอยุธยาที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นจิตรกรรมที่เกิดขึ้นในภาคกลางของประเทศไทย มีกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจิตรกรรมมีลักษณะเป็นงานที่มีรูปแบบองค์ประกอบ  เทคนิค และวัฒนธรรม ตาม แบบจิตรกรรมไทยประเพณีภาคกลาง ที่ได้รับอิทธิพลหรือมีครูจากกรุงศรีอยุธยา  ลักษณะศิลปกรรม จึงเป็นแบบที่เกิดจากราชสำนักและถ่ายทอดต่อไปยังเมืองต่างๆ ได้แก่ อ่างทอง ลพบุรี สุพรรณบุรี ราชบุรี เพชรบุรี กรุงเทพ ฯลฯ
ในสมัยที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีนั้นคงมีจิตรกรรมเป็นเครื่องประดับอาคารศาสนสถาน พระบรมมหาราชวัง  ตลอดจนเครื่องใช้ต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก จิตรกรรมเป็นงานละเอียดอ่อนและ บอบบาง จึงชำรุดและสญเสียไปได้ง่าย การศึกษาเกี่ยวกับจิตรกรรมสมัยอยุธยา จึงจำเป็นจะต้องหาจากหลักฐานต่าง เท่าที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันเท่านั้น
ลักษณะภายในของอาคารสมัยอยุธยาตอนต้น ส่วนมากมีขนาดสูงใหญ่  มีเสารวมในประธานรับเครื่องบน ที่มลวดลายประดับอย่างวิจิตร อาคารแบบนี้ไม่มีหน้าต่างแต่มีช่องลม หรือช่องแสงสว่างขนาดเล็ก สูงพอเหมาะกับความสูงของฝาผนังและเรียงกันในแนวตั้งเป็นกลุ่มๆ ระหว่างขื่อ อย่างเช่น อุโบสถวัดหน้าพระเมรุ พระวิหารธรรมิกราช  จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ฯลฯ ลักษณะเช่นนี้ยังนิยมสืบมาจนถึง สมัยพระนารายณ์มหาราชด้วย  แต่อาคารมีขนาดเล็กลง เช่น พระอุโบสถวัดกวิศราราม จังหวัดลพบุรี ลักษณะของสถาปตยกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายที่นิยมมากอีกแบบหนึ่ง คือ มีรูปแบบของอาคารสูง ระหงชายคาอยู่ชิดฝาผนังไม่ทอดลงมาต่ำมากอย่างยุคแรก ดังนั้นที่ฝาผนังด้านข้างจึงเป็นฝาผนังทึบ โดยตลอดไม่มีหน้าต่างเลย แต่มีประตูที่ฝาผนังหุ้มกลองด้านหน้า  และด้านหลังและบางแห่งมีช่องลม หรือช่องแสงสว่างที่ฝาผนังช่วงบนด้วย อาคารแบบนี้จึงมีมุขโถงที่สง่างามอยู่ทางด้านหน้าของอาคาร และหลังอาคาร เพื่อกั้นแดดฝนสาดเขาสู่ประตู อาคารดังกล่าวนี้ล้วนประดับผนังด้วยภาพจิตรกรรมที่งดงาม เช่น พระอุโบสถวัดใหญ่สุวรรณาราม จังหวัดเพชรบุรีเป็นต้น ซึ่งภาพจิตรกรรมฝาผนงที่อยู่ ภายในอาคารต่างๆนั้นเราสามารถสรุป ลักษณะโดยสังเขปของลักษณะจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยา ได้ดังนี้
4.1  สี ในระยะแรกจิตรกรรมมีสีอยู่ในวรรณะเอกรงค์ สีที่ใช้มีสีแดง เหลือง ดำ และขาว ในระยะต่อมาเมื่อมีการติดต่อกับต่างประเทศ ทำให้สีต่างๆเริ่มเข้ามาในประเทศไทยหลายชนิด เช่นสี แดงชาติ และเขียวจากจีน ดินแดงเทศจากอินเดียและเปอร์เซีย  น้ำเงินจากยุโรป การมีสีสมัยใหม่ซึ่ง เป็นวรรณะสดใสสวยงามเขามาแพร่หลายทำให้ช่างเขียนเกิดความนิยม อันเป็นผลให้จิตรกรรมในระยะเวลาต่อมามีวรรณะเป็นพหุรงค์ และเป็นที่นิยมสืบต่อมาจนปัจจุบัน
4.2  เรื่อง ระยะแรกนิยมเขียนเรื่องดีตพุทธ พระอัครสาวก มีลวดลายซุ้มแบบต่างๆ ประดับเป็นพื้นหลัง บางแห่งมีแทรกเป็นภาพพุทธประวัติ ชาดก ภาพคนจีน และลายกระบวนจีน ต่อมานิยมเขียน ภาพพุทธประวัติ  ทศชาติชาดก ไตรภูมิ  ภาพบุคคลต่างชาติ  ภาพเรื่องพระพุทธบาท ภาพเทพชุมนุมและภาพลวดลายกระหนก ลายเครือวัลย์ ลายพรรณพฤกษาที่มีลักษณะต่างๆกันและ งดงามมาก เป็นภาพที่เขียนขึ้นด้วยความศรัทธา เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
4.3  การจัดกลุ่มภาพ ในระยะแรกนิยมแบ่งภาพเป็นแถวในแนวระดับ และซ้อนต่อขึ้น ไปเป็นชั้นๆ  จนจรดเพดาน ภาพดังกล่าวนิยมประดับอยู่ในกรุเจดียหรือปรางค์  ส่วนการเขียนในโบสถ วิหารมักจัดกลุ่มภาพตามขนาด และลักษณะของฝาผนัง มีการลำดับกลุ่มภาพด้วยลวดลายเส้นลวด เส้นสินเทา หรือแบ่งด้วยลวดลายอื่น
4.4  ภาพบุคคล จะมีลัษณะพิเศษ  ภาพเทพ กษัตริย์ นางกษัตริย์ มีความประณีตงดงามมีรูปแบบคล้ายกัน เป็นความงามตามแบบอุดมคติ รูปแบบของ ใบหน้า มือ และเท้านั้น จะคล้ายกับประติมากรรมสมัยอยุธยาที่มีอายุใกล้เคียงกัน ส่วนภาพกากจะแตกต่างกันในแต่ละที่ แต่ละวัฒนธรรม
4.5  ภาพทิวทัศน นิยมเขียนภาพต้นไม้ที่มีลักษณะคดโคง ดอกสีสดใส ตัดเส้นใบอย่างมีระเบียบ ในยุคแรกภาพทิวทัศน์มีทัศนียภาพแบบโบราณ (Primitive  Perspective) ต่อมาค่อยๆเปลี่ยน ไปเป็นแบบทัศนวิสัยแบบเส้นขนาน (Parallel Perspective)
4.6  ภาพสถาปัตยกรรม แสดงรูปแบบที่มีลักษณะตามแบบอย่างสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา อันวิจิตรงดงามมาก
4.7  การปิดทอง นิยมปิดที่ภาพสำคัญ เพื่อให้ภาพมีประกายแวววาว มีลักษณะเด่นสะดุด ตา ส่วนการปิดทองนั้นมีลักษณะพิเศษคือ  นิยมใช้สีแดงชาติซับหนุนทอง ทำให้ทองคำเปลวมีประกาย สุกใสมากยิ่งขึ้น
4.8  การประดับพื้นหลัง  นิยมทำภาพลายดอกไม้ร่วง ที่ภาพพื้นหลังส่วนใหญ่เป็นสีแดง บางแห่งลายดอกไม้ร่วงจะมีการปิดทอง  แทนการเขียนสี ซึ่งลวดลายใบไม้ร่วงจะคอยๆหายไปในสมัยรัตนโกสินทร์




5. จิตรกรรมฝาผนังสมัยธนบุรี
ศิลปะสกุลช่างธนบุรีมีระยะเวลาอยู่ในระหว่าง พ.ศ. 2200 - 2350 งานทางด้านจิตรกรรมฝาผนงที่จัดอยู่ในสกุลช่างนี้มีจิตรกรรมฝาผนังวัดปราสาท อ. บางกรวย จ. นนทบุรี  จิตรกรรมฝาผนังวัดช่องนนทรี อ.ยานนาวา กุรงเทพฯ สมุดภาพไตรภูมิฉบับช่างหลวง เขียนขึ้นตามพระบรมราชโองการสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชในปี พ.ศ. 2519 และจิตรกรรมฝาผนังวัด ราชสิทธาราม (วดพลับ)  อ.บางกอกใหญ่ จ. ธนบุรี  จิตรกรรมฝาผนัง 2 แห่งหลังนี้เขียนขึ้นใน ตอนต้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ผู้เขียนจัดเป็นจิตรกรรมสกุลช่างธนบุรี



จิตรกรรมไทย Thai Painting


จิตรกรรมไทย   Thai  Painting
จิตรกรรมไทย หมายถึง ภาพเขียนที่มีลักษณะเป็นแบบอย่างของไทยที่แตกต่างจากศิลปะของชนชาติอื่นอย่างชัดเจน ถึงแม้จะมีอิทธิพลศิลปะของชาติอื่นอยู่บ้าง แต่ก็สามารถดัดแปลงคลี่คลายตัดทอน หรือเพิ่มเติมจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเองได้อย่างสวยงาม ลงตัว น่าภาคภูมิใจ และมีวิวัฒนาการทางด้านด้านรูปแบบวิธีการมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ซึ่งสามารถพัฒนาต่อไปอีกในอนาคต




ลายไทยเป็นส่วนประกอบของภาพเขียนไทยใช้ตกแต่งอาคารสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ เครื่องประดับ ฯลฯเป็นลวดลายที่มีชื่อเรียกต่างๆ กันซึ่งนำเอารูปร่างจากธรรมชาติมาประกอบ เช่น ลายกนก ลายกระจัง ลายประจำยาม ลายเครือเถา เป็นต้น หรือเป็นรูปที่มาจากความเชื่อและคตินิย เช่น รูปคน รูปเทวดา รูปสัตว์ รูปยักษ์ เป็นต้น


จิตรกรรมไทยเป็นวิจิตรศิลป์อย่างหนึ่ง ซึ่งส่งผลสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ มีคุณค่าทางศิลปะ และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้า เรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชีวิตความเป็นอยู่วัฒนธรรมการแต่งกาย ตลอดจนการแสดงการเล่นพื้นเมืองต่างๆ ของแต่ละยุคสมัยและสาระอื่น ๆ ที่ประกอบกันเป็นภาพจิตรกรรมไทย งานจิตรกรรมให้ความรู้สึกในความงามอันบริสุทธิ์ น่าชื่นชม เสริมสร้างสุนทรียภาพขึ้นในจิตใจมวลมนุษยชาติได้โดยทั่วไ

วิวัฒนาการของงานจิตรกรรมไทย แบ่งออกตามลักษณะรูปแบบทางศิลปกรรม ที่ปรากฎในปัจจุบันมีอยู่แบบ คือ
1.  จิตรกรรมไทยแบบประเพณี (Thai Traditional Painting) เป็นศิลปะที่มีความประณีตสวยงาม แสดงความรู้สึกชีวิติจิตใจและความเป็นไทย ที่มีความอ่อนโยนละมุนละไม สร้างสรรค์สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต จนได้ลักษณะประจำชาติ มีลักษณะประจำชาติที่มีลักษณะและรูปแบบเป็นพิเศษ นิยมเขียนบนฝาผนังภายในอาคารที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา และอาคารที่เกี่ยวกับบุคคลชั้นสูง เช่น โบสถ์ วิหาร พระที่นั่ง วัง บนผืนผ้า บนกระดาษ และบนสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ โดยเขียนด้วยสีฝุ่น ตามกรรมวิธีของช่างเขียนไทยแต่โบราณ เนื้อหาที่เขียนมักเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอดีตพุทธ พุทธประวัติ ทศชาติชาดก ไตรภูมิ วรรณคดีและชีวิตไทย พงศาวดารต่าง ๆ ส่วนใหญ่นิยมเขียนประดับฝนังพระอุโบสถวิหารอันเป็นสถานที่ ศักดิ์สิทธิ์ประกอบพิธีทางศาสนา
ลักษณะจิตรกรรมไทยแบบประเพณีเป็นศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic) ผนวกเข้ากับเรื่องราวที่กึ่งลึกลับมหัศจรรย์ ซึ่งคล้ายกับงานจิตรกรรมในประเทศแถบตะวันออกหลาย ๆ ประเทศ เช่น อินเดีย ศรีลังกา จีน และญี่ปุ่น เป็นต้น เป็นภาพที่ระบายสีแบนเรียบ ด้วยสีค่อนข้างสดใส และมีการตัดเส้นเป็นภาพ 2 มิติ ให้ความรู้สึกเพียงด้านกว้างและยาว ไม่มีความลึก ไม่มีการใช้แสงและเงามาประกอบ จิตรกรรมไทยแบบประเพณีมีลักษณะพิเศษในการจัดวางภาพแบบเล่าเรื่องเป็นตอนๆ ตามผนังช่องหน้าต่าง โดยรอบโบสถ์วิหารและผนังด้านหน้าและหลังพระประธาน
ภาพจิตรกรรมไทยมีการใช้สีแตกต่างกันออกไปตามยุคสมัย ทั้งเอกรงค์ และหหุรงค์ โดยเฉพาะการใช้สีหลายๆ สีแบบพหุรงค์นิยมมากในสมัยรัตนโกสินทร์ เพราะได้สีจากต่างประเทศที่เข้ามาติดต่อค้าขายด้วย ทำให้ภาพจิตรกรรมไทยมีความสวยงาม และสีสันที่หลากหลายมากขึ้น
รูปแบบลักษณะตัวภาพในจิตรกรรมไทยซึ่งจิตรกรไทยได้สร้างสรรค์ออกแบบไว้ เป็นรูปแบบอุดมคติที่แสดงออกทางความคิดให้สัมพันธ์กับเนื้อเรื่องและความสำคัญของภาพ เช่น รูปเทวดา นางฟ้า กษัตริย์ นางพญา นางรำ จะมีลักษณะเด่นงามสง่า ด้วยลีลาอันชดช้อย แสดงอารมณ์ความรู้สึกปิติยินดี หรือเศร้าโศกเสียใจด้วยอากัปกิริยาท่าทาง  ถ้าเป็นรูปยักษ์ มาร ก็แสดงออกด้วยท่างทางที่บึกบึน แข็งขัน ส่วนพวกวานรแสดงความลิงโลด คล่องแคล่วว่องไวด้วยลีลาท่วงท่าและหน้าตา สำหรับพวกชาวบ้านธรรมดาสามัญก็จะเน้นความตลกขบขัน สนุกสนานร่าเริงหรือเศร้าเสียใจออกทางใบหน้า ส่วนช้างม้าเหล่าสัตว์ทั้งหลายก็มีรูปแบบแสดงชีวิตเป็นธรรมชาติ ซึ่งจิตรกรไทยได้พยายามศึกษา ถ่ายทอดอารมณ์สอดแทรกความรู้สึกในรูปแบบได้อย่างลึกซึ้ง เหมาะสม สวยงาม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของชนชาติไทยที่น่าภาคภูมิใจ สมควรจะได้อนุรักษ์สืบทอดให้เป็นมรดกของชาติสืบไป



2.  จิตรกรรมไทยแบบร่วมสมัย (Thai  Contempolary  Painting)
จิตรกรรมไทยร่วมสมัยเป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการของโลก ความเจริญทางการศึกษา การคมนาคม การพาณิชย์ การปกครอง การรับรู้ข่าวสารความเป็นไปของโลกที่อยู่ห่างไกล ฯลฯ เหล่านี้ล้วนมีผลต่อความรู้สึกนึกคิด และแนวทางการแสดงออกของศิลปินในยุคต่อๆ มาซึ่งได้พัฒนาไปตามสภาพแวดล้อม ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ความเป็นอยู่ ความรู้สึกนึกคิดและความนิยมในสังคมสะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ใหม่ของวัฒนธรรมไทยอีกรูปแบบหนึ่งอย่างมีคุณค่าเช่นดียวกัน อนึ่งสำหรับลักษณะเกี่ยวกับจิตรกรรมไทยร่วมสมัยนั้น ส่วนใหญ่เป็นแนวทางเดียวกันกับลักษณะศิลปะแบบตะวันตกในลัทธิต่างๆ ตามความนิยมของศิลปินแต่ละคน




ความสำคัญของจิตรกรรมไทย
จิตรกรรมไทยเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูล แบบสหวิทยาการ ถือได้ว่าเป็นแหล่งขุมความรู้โดยเฉพาะเรื่องราวจากอดีตที่สำคัญยิ่ง แสดงให้เห็นถึงความเป็นชนชาติที่มีอารยธรรมอันเก่าแก่ยาวนาน ประโยชน์ของงานจิตรกรรมไทย นอกจากจะให้ความ สำคัญในเรื่องคุณค่าของงานศิลปะแล้ว ยังมีคุณค่าในด้านอื่น ๆ อีกมาก ดังนี้
1.   คุณค่าในทางประวัติศาสตร์
2.   คุณค่าในทางศิลปะ
3.   คุณค่าในเรื่องเชื้อชาติ
4.   คุณค่าในทางสถาปัตยกรรม
5.   คุณค่าในเชิงสังคมวิทยา
6.   คุณค่าในด้านโบราณคดี
7.   คุณค่าในการศึกษาประเพณีและวัฒนธรรม
8.   คุณค่าในการศึกษาเรื่องทัศนคติค่านิยม
9.   คุณค่าในการศึกษานิเวศวิทยา
10.  คุณค่าในการศึกษาเรื่องราวทางพุทธศาสนา
11.  คุณค่าในทางเศรษฐกิจการท่องเที่ยว


วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์

สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์


จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สถาปัตยกรรมสมัยรัตนโกสินทร์ คือสถาปัตยกรรมในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลปัจจุบัน) เป็นยุคที่ได้รับอิทธิพลจากจากตะวันตก วิชาชีพสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 6 เริ่มเป็นที่รู้จัก และถือได้ว่าการประกอบวิชาชีพสถาปัตยกรรมแผนใหม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกับการจัดตั้งสถาบันการศึกษาสถาปัตยกรรมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในปี พ.ศ. 2476 โดยอาจารย์นารถ โพธิประสาท และการก่อตั้งสมาคมสถาปนิกสยามฯ ในปี พ.ศ. 2477
สถาปัตยกรรมทางศาสนา
วัดในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น มีรูปแบบดำเนินรอยตามแบบสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา เช่น การสร้างโบสถ์วิหารให้มีฐานโค้ง การสร้างหอไตรหรือหอพระไตรปิฎกกลางน้ำ เป็นต้น ต่อมาเมื่อมีการทำมาค้าขายกับต่างชาติมากขึ้น จึงได้รับอิทธิพล ที่เห็นได้ชัดคือ ในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่ได้รับอิทธิพลจีน
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด เช่น ได้เอาช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ออก โดยเปลี่ยนมาเป็นก่ออิฐถือปูนและใช้ลวดลายดินเผาเคลือบประดับหน้าแทนการใช้ไม้สลักแบบเดิม นิยมใช้เสาเป็นสี่เหลี่ยมทึบ ไม่มีบัวเสา
วัดที่มีการผสมผสานสถาปัตยกรรมตะวันตกเช่วัดนิเวศธรรมประวัติ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นศิลปะแบบกอธิค




วัง
สถาปัตยกรรมในรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังตามแบบกรุงศรีอยุธยา 3 แห่ง คือพระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวรสถานมงคลพระราชวังบวรสถานพิมุข โดยทั้งตำแหน่งที่ตั้งนั้นยึดหลักยุทธศาสตร์เป็นสำคัญ ตามตำราพิชัยสงคราม คือ "มีแม่น้ำโอบล้อมภูเขาหรือหากหาภูเขาไม่ได้ มีแม่น้ำเพียงอย่างเดียวก็ได้ เรียกว่า นาคนาม"
ที่อยู่อาศัยของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางไทยผู้สูงศักดิ์ในสมัยนั้น เรียกขานตามแต่บรรดาศักดิ์ ให้เห็นถึงยศที่ชัดเจน อาทิ พระตำหนัก พระที่นั่ง พระวิมาน หรือพระมหาปราสาท โดยเฉพาะพระวิมานและพระมหาปราสาท ใช้เฉพาะเรือนที่มีเจ้าของเป็นพระมหากษัตริืย์เท่านั้น ส่วนที่ประทับของพระมหากษัตริย์หรือแม้จะเป็นพระมหาอุปราช เรียกว่า พระราชวัง เว้นแต่พระราชวังประทับถาวรของพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่เรียกว่า พระบรมมหาราชวัง วังหลายแห่งเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปะไทยแขนงต่าง ๆ อันเนื่อง วังมักเป็นโรงงานช่างหรือโรงฝึกงานช่าง อย่างช่างสิบหมู่
ลักษณะของ ปราสาท พระราชวัง พระบรมมหาราชวัง ของพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนาง แบ่งได้เป็น 3 สมัย คือ สมัยต้น (ร.1-3) เป็นยุคสืบทอดสถาปัตยกรรมแบบกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย สมัยกลาง (ร.4-6) ซึ่งประเทศไทยได้รับอิทธิสถาปัตยกรรมตะวันตก และสมัยหลัง (ร.7-ปัจจุบัน) เป็นยุคแห่งสถาปัตยกรรมร่วมสมัย


ที่พักอาศัย
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชสถาปนากรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวงกรุงรัตนโกสินทร์ พระองค์มีพระราชประสงค์ที่จะทำให้กรุงเทพมหานครเป็นเหมือนกรุงศรีอยุธยาแห่งที่สอง มีการสร้างสถาปัตยกรรมที่สำคัญเลียนแบบกรุงศรีอยุธยา ส่วนบ้านพักอาศัย เรือนไทยที่คงเหลือจากสงครามก็ถูกถอดและนำประกอบใหม่
สมัยรัชกาลที่ 4 เริ่มมีการติดต่อกับชาติตะวันตกมากขึ้น มีการสร้างอาคารต่างชนิดเพื่อรองรับกิจกรรมทางธุรกิจนอกเหนือจากที่อยู่ อาศัยและวัดวาอารามในอดีต ได้แก่ โรงงาน โรงสี โรงเลื่อย ห้างร้านและที่พักอาศัยของชาวตะวันตก นอกจากนี้การสร้างอาคารของทางราชการ กระทรวงต่าง ๆ และพระราชวังที่มีรูปแบบตะวันตกผสมผสานกับสถาปัตยกรรมไทย เช่น พระที่นั่งจักรมหาปราสาท พระที่นั่งอนันตสมาคม เป็นต้น
สำหรับที่พักอาศัย ในการประยุกต์ยุกแรก ๆ เรือนไม้จะนำศิลปะตะวันตกมาประยุกต์ เช่นเรือนปั้นหยา ซึ่งดัดแปลงมาจากเรือนไม้ของยุโรป สร้างขึ้นในพระราชวังก่อนแพร่หลายสู่บ้านเรือนประชาชน หลังคาเรือนปั้นหยาซึ่งมุงด้วยกระเบื้องโดยทุกด้านของหลังคาจะชนกันแบบปิรามิด ไม่มีหน้าจั่วแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิม จากนั้นได้วิวัฒนาการเป็นเรือนมะนิลา ในบางส่วนอาจเป็นหลังคาปั้นหยา แต่เปิดบางส่วนให้มีหน้าจั่ว หลังจากนั้นก็มีเรือนขนมปังขิง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากเรือนขนมปังขิงสมัยโบราณของตะวันตก ซึ่งมีการตกแต่งอย่างหรูหรา มีครีบระบายอย่างแพรวพราว โดยทั้งเรือนขนมปังขิงและเรือนมะนิลา เป็นศิลปะฉลุลายที่เฟื่องฟูมากในสมัยรัชกาลที่ 5-6
ในสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มมีการให้กรรมสิทธิ์ที่ดิน อีกทั้งเกิดย่านตลาดเป็นศูนย์กลางชุมชน ทำให้เกิดที่พักอาศัยและร้านค้าตามย่านหัวเมือง เรียกสถาปัตยกรรมเช่นนี้ว่า เรือนโรง มีลักษณะเป็นเรือนพื้นติดดิน ไม่ตั้งอยู่บนเสาสูงเช่นเรือนไทยในอดีต ตั้งอยู่ยานชุมชนการค้าชาวจีนที่เข้ามาทำการค้าขาย โดยเปิดหน้าร้านสำหรับขายของ ส่วนด้านหลังไว้พักอาศัย เมื่อเรียงรายกันเป็นแถวจึงกลายเป็น ห้องแถว ในเวลาต่อมา ถึงแม้ว่าเรือนไทยจะได้รับอิทธิพลตะวันตก แต่คนไทยก็ยังถือเรื่องคติการสร้างบ้านแบบไทย ๆ อยู่เช่น การยกเสาเอกและการถือเรื่องทิศ ต่อมาสถาปนิกและนักตกแต่งซึ่งสำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศได้กลับนำมาใช้ในการทำงาน ทำให้มีแนวโน้มนำเอารูปแบบสถาปัตยกรรมอื่นมาด้วย
ในปัจจุบันสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะในเมืองหลวงในตามเมืองใหญ่ ๆ แทบไม่หลงเหลือรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยในอดีต สถาปัตยกรรมในยุคหลังอุตสาหกรรมได้เน้นการสร้างความงามจากโครงสร้าง วัสดุ การออกแบบโครงสร้างให้มีความสวยงามในตัว เช่นใช้เหล็ก ใช้กระจกมากขึ้น ผนังใช้อิฐและปูนน้อยลง ใช้โครงสร้างเหล็กมากขึ้น ออกแบบรูปทรงให้เป็นกล่อง ผนังเป็นกระจกโล่ง เป็นต้น







สถาปัตยกรรมไทยสมัยประวัติศาสตร์



สถาปัตยกรรมไทยสมัยประวัติศาสตร์
สามารถแบ่งได้เป็นยุคๆ ได้ดังนี้
  • ยุคทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 12 - 16)
  • ยุคศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 - 18)
  • ยุคลพบุรี (ราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 18)
  • ยุคเชียงแสน (ราวพุทธศตวรรษที่ 16 - 23)
  • ยุคสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19 - 20)
  • ยุคอู่ทอง (ราวพุทธศตวรรษที่ 17 -20)
  • ยุคอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 20 - 23)
ยุคทวาราวดี (พุทธศตวรรษที่ 12 - 16)
จะปรากฏอยู่ในภาคกลางของประเทศไทย แถบจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี สิงห์บุรี ลพบุรี ราชบุรี และ ยังกระจายไปอยู่ทุกภาคประปราย เช่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตะวันออกและ ใต้ สถาปัตยกรรมแบบทวาราวดีมักก่ออิฐและใช้สอดิน เช่น วัดพระเมรุ และเจดีย์จุลปะโทนวัดพระประโทน อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐมบางแห่งมีการใช้ศิลาแลงบ้าง เช่นก่อสร้างบริเวณฐานสถูป การก่อสร้างเจดีย์ในสมัยทวาราวดีทีพบทั้งเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยม เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ มียอดแหลมอยู่ด้านบน


ยุคศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 - 18)
พบในภาคใต้ ศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยไม่ทราบแน่ชัด ในประเทศไทยจะพบร่องรอยการ สร้างสถูปตามเมืองสำคัญ เช่น เมืองครหิ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานีเมืองตามพรลิงก์ จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบศรีวิชัย คือการสร้างสถูปทรงมณฑปให้มีฐานและเรือนธาตุรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ส่วนยอดเป็นเจดีย์แปดเหลี่ยม ส่วนฐานปากระฆังสร้างเป็นชึ้นลดหลั่นกันไป มีเจดีย์ประดับมุมและซุ้มบันแถลงในแต่ละทิศ ตัวอย่างเช่น พระบรมธาตุไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี


ยุคลพบุรี (ราวพุทธศตวรรษที่ 12 - 18)         
พบบริเวณ ภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีรูปแบบคล้ายศิลปะขอม เช่น เทวาลัย ปราสาท พระปรางค์ ต่างๆ นิยมใช้อิฐ หินทรายและศิลาแลง โดยใช้อิฐและหินทรายสำหรับสร้างเรือนปราสาทและใช้ศิลาแลง สร้างส่วนฐาน ต่อมาก็สร้างด้วยศิลาแลงทั้งหลัง สถาปัตยกรรมที่ยังคงสภาพสมบูรณ์อยู่เช่น ปรางค์วัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย และ พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี


ยุคเชียงแสน (ราวพุทธศตวรรษที่ 16 - 23)
พบในภาคเหนือ สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่สร้างเพื่อเป็นศาสนสถาน อาณาจักรเชียงแสนได้รับเอา ศิลปวัฒนธรรมมาจากดินแดงแห่งอื่นเข้าผสมผสาน ทั้งศิลปะสุโขทัย ศิลปะทวาราวดี ศิลปะศรีวิชัย ศิลปะพม่า เชียงแสนนั้นเคยเป็นเมืองหลวงของล้านนาต่อเนื่องจากเวียงกุมกาม เชียงแสนที่มีศิลปะหลายอย่างรวมกันนั้นเพราะว่า ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของเมืองที่มีศิลปะนั้นๆ เช่นวัดพระธาตุจอมสวรรค์และวัดล้างหมายเลข 13 นอกเมืองเป็นต้น พบว่าได้มีศิลปะพม่าผสมผสานอยู่ด้วย


ยุคสุโขทัย (พุทธศตวรรษที่ 19 - 20)
ศิลปะสุโขทัยเริ่มต้นราว พ.ศ. 1780 เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์สถาปนากรุงสุโขทัย เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสุโขทัย จะออกแบบให้ก่อเกิดความศรัทธาด้วยการสร้างรูปทรงอาคารในเชิงสัญลักษณ์ เช่น การออกแบบเจดีย์ทรงดอกบัวตูม หรือ เจดีย์ทรงกลม และปั้นรูปช้างล้อมรอบฐานเจดีย์
เจดีย์แบบสุโขทัยแบ่งออกเป็น 3 แบบคือ
  • เจดีย์แบบสุโขทัยแท้ หรือ เจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์




  • เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา



  • เจดีย์แบบศรีวิชัย




ยุคอู่ทอง (ราวพุทธศตวรรษที่ 17 -20)
เป็นศิลปะที่เกิดจากการรวมกันของศิลปะทวาราวดี และอารยธรรมขอม ตัวอย่างของสถาปัตยกรรมอู่ทองเช่น พระปรางค์องค์ใหญ่ในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี


ยุคอยุธยา (พุทธศตวรรษที่ 20 - 23)
เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในยุคนี้ คือการออกแบบให้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ ร่ำรวย สถาปัตยกรรมจึงมีขนาดและรูปร่างสูงใหญ่ ตกแต่งด้วยการแกะสลักปิดทอง โบสถ์วิหารในกรุงศรีอยุธยาไม่นิยมสร้างให้มีชายคายื่นออกมาจากหัวเสามากนัก ส่วนใหญ่มีบัวหัวเสาเป็นรูปบัวตูม และนิยมเจาะผนังอาคารให้เป็นลูกกรงเล็กๆแทนช่องหน้าต่าง ลักษณะเด่นของการก่อสร้างโบสถ์วิหารอีกอย่างคือ การปล่อยแสงให้สาดเข้ามาในอาคารมากขึ้น โดยจะออกแบบให้แสงเข้ามาทางด้านหน้าและฉายลงยังพระประธาน
สมัยอยุธยาตอนปลาย รูปแบบสถาปัตยกรรมถือว่าอยู่ในจุดสูงสุด คือเป็นสถาปัตยกรรมที่สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้ทุกประการ และมีความงดงามอ่อนช้อยตามลักษณะแบบไทยๆ แต่การพัฒนาทางสถาปัตยกรรมต้องหยุดลงหลังกรุงศรีอยุธยาพ่ายแพ้แก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 นับเป็นจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น ทั้งด้านการปกครอง ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านวัฒนธรรม ฯลฯ